[Jewels of Rajasthan] Jaipur-Jodhpur-Jaisalmer | ถูกและดี มาอินเดียสิคะ!

 

หลายคนคงรู้สึกทั้งรักทั้งเกลียดเมื่อพูดถึงประเทศอินเดีย บางคงถึงกับร้องยี้ว่าอินเดีย

ต้องเที่ยวลำบากและไม่สนุกแน่ๆ ที่จริงเเล้วอินเดียเที่ยวด้วยตัวเองได้หลายแบบ อยากเที่ยวแบบผจญภัยห้อยโหนบนรถบัสรถไฟ  หรือจะเช่ารถพร้อมคนขับเที่ยวสบายๆ อย่างมหาราชาและมหารานีก็ได้

 

ประเทศอินเดียแผ่นดินกว้างใหญ่ เต็มไปด้วยวัฒนธรรมเเละภูมิประเทศที่หลากหลาย เรียกได้ว่ามีแทบจะทุกอย่างทั้งภูเขา น้ำตก ทะเลทราย ทะเล ภูเขาหิมะ ธารน้ำแข็ง เที่ยวครั้งเดียวสงสัยคงจะไม่พอ ครั้งแรกที่มาอินเดียเราไปเที่ยวเมืองนิวเดลี ชัยปูร์ อักรา ก่อนบินขึ้นเหนือไปลาดักห์ ส่วนครั้งนี้เป็นครั้งที่สองเลยอยากไปเที่ยวในส่วนของราชาสถานให้ครบทุกสีของเมือง!

 

เมืองแรกที่จะไปคือมหานครสีชมพูอันมีเสน่ห์อย่างชัยปุระหรือเมืองจัยปูร์ (Jaipur)  แล้วไปต่อที่เมืองสีฟ้า นั่นคือเมืองโยธาปุระหรือเมืองจอดห์ปูร์ (Jodhpur) ก่อนจะไปปิดท้ายตะลุยเมืองสีทองอร่ามที่จัยซัลแมร์ (Jaisalmer) ใครที่ไม่อยากเบียดอัดในรถไฟแน่นๆ อยากเที่ยวแบบลงรถปุ๊บก็ถึงสถานที่เที่ยวหรือที่พักเลย ก็ทำได้ง่ายๆ ด้วยการเช่ารถพร้อมคนขับ ทุกย่างก้าวตั้งแต่สนามบินจนตะเวรเที่ยวเสร็จ แล้วกลับมาส่งที่สนามบิน ปลอดภัย สบายใจหายห่วง ชวนเพื่อนไปหารค่ารถก็ตกไม่กี่บาทเท่านั้น!

  1. สายการบิน

เส้นทาง จัยปูร์-จอดห์ปูร์-จัยซัลแมร์ ที่จะไปตะลุยอินเดียในครั้งนี้ เราบินตรงจากกรุงเทพไปเริ่มต้นที่เมืองจัยปูร์ สายการบินที่บินตรงจากกรุงเทพไปจัยปูร์มีของสายการบินแอร์เอเชียที่เพิ่งเปิดเส้นทาง ดอนเมือง-จัยปูร์ มี 4 เที่ยวบินต่อสัปดาห์ (อังคาร พุธ ศุกร์ อาทิตย์)

ราคาดีงามแถมเวลาเดินทางดีมากด้วย บินช่วงหัวค่ำจากไทย ใช้เวลาประมาณ 4 ชั่วโมงนิดๆ ก็ถึงจัยปูร์ ขากลับออกจากอินเดียดึกถึงไทยตอนเช้า เที่ยวได้เต็มวันตลอดทั้งทริป ไปถึงอินเดียแล้วอย่าลืมปรับเวลาด้วยนะ ที่นู้นช้ากว่าไทย 1.5 ชั่วโมง

 

  1. วีซ่า

คนไทยต้องทำวีซ่าล่วงหน้าก่อนเข้าประเทศอินเดีย เดี๋ยวนี้ทำวีซ่าทางออนไลน์ได้เลย ไม่ต้องเสียเวลาไปทำที่อโศกเหมือนเมื่อก่อน รวดเร็วและทำให้ชีวิตสะดวกขึ้นมาก แต่มีเงื่อนไขคือทำออนไลน์ได้ในกรณีที่เดินทางเข้าอินเดียด้วยเครื่องบินไปยังสนามบินหลัก 24 แห่ง เช่น เดลี ชัยปุระ กัลกัตตา พาราณสี เชนไน กัว เป็นต้น ส่วนขาออกจะบินจากที่สนามบินไหนก็ได้

ค่าวีซ่า 50 ดอลลาร์พร้อมค่าธรรมเนียมอีก 1.25 ดอลลาร์ รวมทั้งหมด 51.25 ดอลลาร์

วีซ่าที่ได้เป็น Double Entry ใช้เข้าอินเดียได้ 2 ครั้งภายใน 60 วันนับตั้งแต่วันที่เข้าครั้งแรก โดยเข้าอินเดียได้ภายใน 4 เดือนหลังจากวันที่ได้วีซ่า

ทำวีซ่าออนไลน์ได้แค่ 2 ครั้งต่อหนึ่งปีปฏิทิน (มกราคมถึงธันวาคม)

วีซ่าขอได้ช้าสุด 4 วันก่อนเดินทาง ตอนที่เราทำใช้เวลาเพียงสองวันก็ได้รับวีซ่าทางอีเมลแล้ว ตอนผ่านด่านตรวจคนเข้าเมืองที่อินเดียก็ไปช่อง Visa On Arrival พร้อมยื่นพาสปอร์ตและเอกสารวีซ่า

ดูรายละเอียดและสมัครวีซ่าได้ที่ https://indianvisaonline.gov.in/evisa/tvoa.html

 

  1. การเงิน

แลกเงินจากไทยไปได้เลย เรทจะอยู่ที่ประมาณ 1 รูปีเท่ากับ 0.50 บาทไทย คิดง่ายๆ คือเอาราคารูปีมาหารสองเป็นหน่วยบาท อย่าง 100 รูปีก็เท่ากับ 50 บาท ข้าวของราคาไม่เเพงเหมือนกับไทย ทั้งอาหารและเสื้อผ้าที่น่าซื้อไปทุกอย่าง ยังไงอย่าลืมต่อราคาเเละระวังช้อปปิ้งจนเพลินนะจ๊ะ

 

  1. การเดินทาง

อย่างที่บอกไปคือถ้าใครอยากผจญภัย การเดินทางระหว่างเมืองมีทั้งเครื่องบิน รถไฟและรถบัส อย่างรถไฟสามารถเลือกชั้นสำหรับผู้หญิงล้วนหรือแบบที่มีแอร์ก็จะดีหน่อย เดินทางภายในตัวเมืองมีรถเมล์ รถสามล้อและแท็กซี่ ที่สำคัญคือจะได้ฝึกสกิวในการต่อราคา

เที่ยวอินเดียแบบผจญภัยด้วยรถไฟหรือรถบัส พอถึงจุดหมายปลายทางก็โบกรถสามล้อหรือแท็กซี่ให้ไปส่งที่พัก บางที่พักมีบริการรับส่งฟรีที่สถานีรถไฟหรือรถบัสด้วย จองตั๋วรถบัสตอนไปถึงแต่ละเมืองก็ได้ จะจองเองหรือให้ที่พักของให้ หรือจองออนไลน์จาก https://www.redbus.in ส่วนตั๋วรถไฟซื้อที่สถานีเองหรือให้ที่พักซื้อให้ก็ได้ หรือจองล่วงหน้าได้ที่ https://www.cleartrip.com/trains

ถ้าอยากเที่ยวแบบสบายก็ติดต่อเช่ารถพร้อมคนขับ เราอ่านรีวิวเเละสอบถามราคาตามบริษัทต่างๆ จากเว็บ TripAdvisor อย่างเส้นทางที่ไปมาล่าสุด จัยปูร์-จอดห์ปูร์-จัยซัลแมร์ (5 วัน) ระยะทางไกลแสนไกล ราคาเพียง 15,000 รูปี (ประมาณ 7,500 บาท) สำหรับสองคน ราคานี้รวมทุกอย่าง น้ำมัน ค่าทางด่วน ค่าจอดรถ ค่าที่พักและอาหารของคนขับรถ เอาเป็นว่าจ่ายก้อนเดียวแล้วจบ ยิ่งไปหลายคนราคาที่หารออกมายิ่งถูก!

เที่ยวอินเดียแบบสบายๆ ไม่ลำบากด้วยเช่ารถพร้อมคนขับ เราไปกับบริษัท Ranthambore Tour Cab ส่งอีเมล์ไปติดต่อสอบถามราคาสำหรับเส้นทางที่อยากไปได้ที่

Email : ranthamboretourcab@gmail.com

Line : ranthambore

WhatsApp : +918426887669

Website : http://www.ranthamboretourcab.com

Facebook : https://www.facebook.com/RanthamboretourCab

บริษัทที่ลองใช้บริการโดยรวมถือว่าโอเคมากเลย เป็นไปตามที่ตกลงทุกอย่าง ตอนที่คุยผ่านอีเมล์และ WhatsApp เขาอาจจะตอบสั้นๆ ห้วนๆ ไปบ้างจนเราเริ่มไม่แน่ใจว่าจะโอเคไหมหว่าา สุดท้ายก็โอเค ถ้าประทับใจบริการก็อย่าลืมให้ทิปตอนท้ายด้วยนะคะ

 

  1. ที่พัก

ที่พักในอินเดียราคาไม่เเพง ที่พักเริ่มต้นตั้งแต่หลักสิบ ฟังไม่ผิดหรอกค่ะ! ใครมีกำลังเงินเท่าไหนก็เลือกที่พักได้ตามใจชอบ จะอยู่โฮลเทลหรือโรงแรมก็ได้ เสน่ห์อีกอย่างของรัฐราชสถานคือจะมีที่พักที่เรียกว่าฮาเวลี (Haveli) เป็นคฤหาสน์ของขุนนางและมหาเศรษฐีในสมัยก่อน ตามเมืองจัยปูร์ จอดห์ปูร์ จัยซัลแมร์ มีฮาเวลีให้เลือกพักมากมายในราคาที่ไม่เเพง หาและจองที่พักได้ตามเว็บทั่วไปอย่าง Booking, Agoda, Expedia ส่วนตัวเราของเเค่ที่พักสะอาด มีน้ำอุ่นๆ และมีอินเตอร์เน็ตให้ก็เพียงพอแล้วจ้าาา

 

  1. อาหาร

ที่อินเดียไม่ได้มีเเต่อาหารอินเดียอย่างเดียวนะ อาหารจีน อาหารเกาหลี อาหารฝรั่งอย่างพิซซ่าหรือพาสต้าก็มี ดังนั้นไม่ต้องกลัวว่าจะไม่มีอะไรกิน ถ้ามาอินเดียแล้วลองกินอาหารอินเดียสักหน่อยก็ดีเหมือนกัน หลายคนไม่ชอบแต่เราชอบนะ รสชาติมันถึงเครื่องถึงใจดี แต่ให้กินทุกมื้อก็ไม่ไหวเหมือนกัน ก็แอบเลียนนะสิ

 

  1. ไปช่วงไหนดี

ช่วงเวลาที่น่าไปราชาสถานคือระหว่างเดือนพฤศจิกายนถึงมีนาคม เป็นหน้าหนาวทำให้อากาศเย็นสบายเหมือนอยู่ในห้องแอร์ เราเคยมาราชาสถานหน้าร้อนในเดือนพฤษภาคม ร้อนตับแตกมากกกกก!

Day 1 : Around Jaipur

เราบินมาถึงสนามบินจัยปูร์ด้วยสายการบินแอร์เอเชียตอนเที่ยงคืนกว่าๆ จากสนามบินจัยปูร์เข้าสู่ตัวเมืองมีหลายวิธี รถแท็กซี่ รถสามล้อ รถเมล์  อูเบอร์ หรือรถเช่าพร้อมคนขับ เราเลือกอย่างหลัง ออกจากสนามบินปุ๊บก็เจอรถที่เช่าพร้อมคนขับมารออยู่เเล้ว ขับไปส่งถึงที่พักตอนตีหนึ่งหน่อยๆ หัวลงถึงหมอนอย่างไม่รีรอแบบไม่อาบน้ำ ฮ่าๆ ค่อยตื่นมาพร้อมตะลอนเที่ยวจัยปูร์ตอน 9 โมงเช้า

เนื่องจากนี่เป็นครั้งที่สองที่เรามาจัยปูร์เลยขอเก็บสถานที่ยังไม่ได้ไปคราวที่แล้วก่อน พี่คนขับรถพูดอังกฤษได้คล่อง สำเนียงอาจจะฟังยากเเละต้องใช้สมาธิสูง คนอินเดียส่วนใหญ่พูดอังกฤษกันได้นะ คนอินเดียหลายคนใจดี ชอบชวนคุย เข้ามาขอถ่ายรูปบ้างจนรู้สึกว่าตัวเองเป็นดารา ฮ่าๆ แต่บางคนก็มีเล่ห์เหลี่ยมหน่อย

หลังฟังเสียงบีบแตรแป๊นๆ ปี้นๆ จนเริ่มคุ้นหู ที่แรกที่มาคือ Monkey Temple (Galta Ji) หรือวัดลิง เป็นวัดฮินดูโบราณสร้างบริเวณเนินเขาที่ล้อมรอบเมืองชัยปุระ เป็นวัดที่ล้อมรอบด้วยน้ำพุธรรมชาติและอ่างเก็บน้ำ ที่นี่ไม่เสียค่าเข้า บางคนบอกว่าที่นี่เป็นจุดชมวิวพระอาทิคย์ตกที่สวยเหมือนกัน

พอขึ้นบันไดมาเรื่อยๆ จะเจออ่างเก็บน้ำเป็นระยะ บางทีเจอผู้แสวงบุญอาบน้ำด้วย และสิ่งที่ขาดไม่ได้สำหรับที่นี่คือน้องลิง อยู่เล่นกันอย่างกระจัดกระจาย ยังไงระวังของมีค่ากันให้ดีด้วยนะ เห็นนักท่องเที่ยวคนหนึ่งโดนลิงเอาแว่นกันแดดไป แต่ลิงที่นี่ดูเรียบร้อยกว่าลิงที่ไทยอยู่

เราเล่นกับน้องลิงเยอะไปหน่อย เลยไม่มีเวลาเดินขึ้นไปวัดด้านบนที่เห็นวิวเมืองจัยปูร์ได้ทั้งเมือง นั่งรถไปต่อกันที่ป้อมปราการแอมเบอร์  (Amber Fort) เดิมเคยเป็นราชธานีของเมืองชัยปุระ เป็นป้อมปราการที่สร้างบนหน้าผาหินที่มีทะเลสาบอยู่เบื้องล่างและรายล้อมไปด้วยเมืองเก่า ยิ่งตอนเห็นนกพิราบบินว่อน ความสวยจะคูณเพิ่มขึ้นไปอีก

การไปขึ้นไปบนป้อมมีหลายวิธีด้วยกัน ด้านหลังป้อมรถสามารถขับขึ้นไปได้เเล้วเดินนิดหน่อย หรือเข้าทางด้านหน้าป้อมจะเดินหรือขี่ช้างอย่างชิคๆ ขึ้นมาก็ได้ ค่าขึ้นช้างคู่ละ 1,000 รูปี ใครอยากขี่ช้างให้มาตอนเช้าเพราะช้างอยู่ถึงแค่ 11.00 ส่วนค่าเข้าป้อมอยู่ที่ 500 รูปี

เป็นครั้งที่สองที่เรามาป้อมนี้เช่นกัน ความรู้สึกเก่าๆ กลับเข้ามาในความทรงจำ ทุกอย่างถูกรักษาไว้เหมือนเดิม พระราชวังมีกำเเพงล้อมรอบหลายชั้น ภายในป้อมปราการยังคงอลังการและสวยงามประณีตมากตกแต่งด้วยการแกะสลักลวดลายและฝังกระจกชิ้นเล็กๆ

ภายในป้อมปราการแอมเบอร์ มีร้านอาหารอินเดียชื่อ 1135 AD ที่ตกแต่งอย่างหรูหรา โคมระย้าห้อยจากเพดาน เฟอร์นิเจอร์เหมือนหลุดออกมาจากพระราชวัง เราลองไปทานอาหารเย็นที่นี่ รสชาติใช้ได้แต่ก็ไม่ได้อร่อยเวอร์ ราคาไม่แพงจนเกินไป ถือว่าได้อารมณ์เหมือนเป็นมหาราชาและมหารานีเลยค่ะ

 

หลังจากเที่ยวป้อมเสร็จก็ย้อนกลับมายังตัวเมืองจัยปูร์ ถ้าใครมีเวลาลองเเวะเที่ยว Panna Meena ka Kund ที่อยู่ไม่ไกลจากป้อม เป็นบ่อน้ำขนาดใหญ่ที่มีบันไดลงไปเป็นขั้นๆ (Step Well) สร้างไว้ให้ผู้คนได้เข้าไปเอาน้ำมาดื่มหรืออาบน้ำ แต่เราไม่ได้เข้าไปเพราะเดี๋ยวจะไปบ่อน้ำที่อื่นแทน

 

เราชอบเดินเล่นสัมผัสบรรยากาศผู้คนในตัวเมือง ได้เห็นวิถีชีวิตความเป็นอยู่ของผู้คนที่นี่ สตรีทฟู้ดขายเต็มท้องถนน อย่าลืมลองชิมลาสซี่ (Lassi) โยเกิร์ตปั่นของอินเดียด้วยละ หาได้ทั่วไปทุกพื้นที่ของประเทศ  ใครอยากลองกินร้านไหนก็ลองเลือกที่ดูสะอาดหน่อยละกัน ไม่งั้นจะหาว่าไม่เตือน!

เสื้อผ้าสไตล์อินเดีย สาหรี่ รองเท้า ผ้าพันคอและงานปักต่างๆ วางเรียงรายขายกันตามตึกสีชมพูที่ออกสีส้มๆ เหตุผลที่เมืองนี้ต้องทาเป็นสีชมพูเพราะสมัยนั้นมหาราชซาลาม ซิงห์ สั่งให้ประชาชนทากำเเพงสีชมพูสุดหวานเพื่อต้อนรับการมาเยือนของเจ้าชายแห่งเวลล์ ภายหลังคือกษัตริย์เอดเวิร์ดที่ 7 แห่งสหราชอาณาจักร

ไม่ไกลจากย่านช้อปปิ้งจะเจอกับพระราชวังแห่งสายลม (Hawa Mahal) ถือว่าเป็นแลนด์มาร์คของจัยปูร์ ตั้งตระหง่านอยู่ท่ามกลางความวุ่นวายของท้องถนน ด้านหน้าสีสันสวยงามมีหน้าต่างบ้านเล็กๆ กว่า 900 บาน ประดับประดาด้วยกระจกสีสันสดใส เป็นทั้งช่องให้ลมผ่านและเพื่อให้หญิงสูงศักดิ์ในราชสำนักส่องมองโลกภายนอกว่าเป็นยังไง เนื่องจากพวกเธอออกไปไหนไม่ได้เลย

ฝั่งตรงข้ามพระราชวังแห่งสายลมมีร้านคาเฟ่ Tattoo cafe และ Wind view Cafe ที่มีดาดฟ้าให้ถ่ายรูปพระราชวังอย่างชัดเจน นั่งพักผ่อนชิวๆ จิบชากาแฟและถ่ายรูปที่มีพระราชวังเป็นฉากอยู่เบื้องหลังก็ได้นะ

ไม่ไกลจากพระราชวังแห่งสายลม จะเจอกับพระราชวังซิตี้พาเลซ (City Palace) พระราชวังกลางเมืองสีชมพู้ชมพูที่สวยงามมาก ค่าเข้ามีหลายราคาขึ้นอยู่กับว่าจะเข้าห้องพิเศษอะไรไหม ค่าเข้าแบบธรรมดาราคา 500 รูปี ได้เดินชมรอบนอกดูความละเอียดของสถาปัตยกรรมก็คุ้มมากแล้ว

เอกลักษณ์อีกอย่างของพระราชวังซิตี้พาเลซคือประตู 4 บานสวยๆ แต่ละประตูจะมีภาพวาดแทนสัญลักษณ์ของ 4 ฤดู ได้แก่ ฤดูฝน-ประตูนกยูง ฤดูร้อน-ประตูดอกบัว ฤดูหนาว-ประตูลายดอกไม้ และฤดูใบไม้ผลิ-ประตูสีเขียวตอง โดยเฉพาะประตูนกยูงเป็นประตูที่สวยงามจริงๆ

เราปิดท้ายของวันที่ป้อมนาหรครห์ (Nahargarh Fort) ป้อมปราการตั้งอยู่บริเวณเชิงเขา ที่เขาว่ากันว่าเป็นจุดชมพระอาทิตย์ตกอีกแห่งที่สวย เสียค่าเข้าคนละ 200 รูปี แล้วเดินทอดน่องไปตามกำเเพงแล้ว หาจุดเหมาะๆ ดูวิวยามเย็นของเมืองจัยปูร์

 

Day 2 Jaipur-Jodhpur

จากจัยปูร์นั่งรถมาจอดห์ปูร์ใช้เวลาประมาณ 6 ชั่วโมง เรามาถึงช่วงบ่ายแก่ๆ เลยตัดสินใจไปเที่ยวป้อมเมห์รานการห์ (Mehrangarh Fort) ก่อน พอเข้าป้อมปราการนี้มาเราถึงกับตกตะลึงในความยิ่งใหญ่ เป็นหนึ่งในสี่ป้อมและพระราชวังที่ใหญ่ที่สุดในอินเดีย ภายในป้อมจะมีพระราชวังที่สวยงามอลังการอยู่หลายตำหนัก เดินชมรอบป้อมปราการได้ฟรี แต่ถ้าอยากเข้าไปชมด้านในพิพิธภัณฑ์และห้องสวยๆ ต้องเสียค่าเข้า 600 รูปี

ด้วยความที่ป้อมนี้ถูกสร้างบนเนินเขาที่สูงมาก เลยจุดชมวิวดูเมืองจอดห์ปูร์ในยามเย็นที่สวยที่สุด วิวตอนพระอาทิตย์ตกทำให้รู้สึกฟินที่เห็นเมืองสีฟ้าค่อยหายลับไปกับแสงแดดสีทอง

พอชมวิวพระอาทิตย์ตกเสร็จแล้ว บริเวณด้านหลังของลานจอดรถของป้อมปราการ สามารถมองเห็นวิวตัวเมืองอีกฝั่งได้หรือจะถ่ายรูปเก๋ๆ พร้อมป้อมปราการอยู่เบื้องหน้า

 

Day 3 Jodhpur-Jaisalmer

เช้าวันถัดมา เราเดินเล่นตามตรอกซอยของเมืองจอดห์ปูร์ ซึมซับวิถีชีวิตของผู้คนที่นี่ เห็นเด็กๆ เดินถือปิ่นโตไปโรงเรียน ผู้คนออกมาขายของ เราไปแถวหอนาฬิกา (Clock Tower) จะเจอ Sardar Market ตลาดที่เรียงรายด้วยร้านรวงของข้าวของต่างๆ ผู้คนพลุ่นพล่าน ตรงหัวมุมมีร้านไข่เจียวในตำนานด้วยนะ เป็นร้านที่ได้ลงในหนังสือ Lonely Planet ว่าจะไปลองซะหน่อยแต่มาเช้าเลยเลยยังไม่เปิด

ไม่ไกลจากหอนาฬิกาจะเจอบ่อน้ำ Toorji Ka Jhalara Step Well อีกแล้ว สามารถเดินลงไปได้เเต่ด้านล่างต้องเดินระวังหน่อยนะ พื้นเต็มไปด้วยตะไคร่น้ําสีเขียวทำให้ลื่นมากๆ ไม่งั้นได้เล่นสไลเดอร์ลงน้ำแน่! เราว่าตอนนี้เขาไม่ดื่มน้ำจากบ่อนี้แล้วมั้ง เห็นมีปลาตัวเล็กใหญ่ว่ายอยู่เต็มเลย ฮ่าๆ มีคู่หนุ่มสาวสวีทที่นี่กันหลายคู่ ช่วงบ่ายๆ จะกลายเป็นที่กระโดดน้ำเล่นของหนุ่มๆ ที่จริงเราอยากไปนั่งจิบชาสักหน่อยที่ Step Well House Cafe เรามาเช้าเกินไปร้านยังไม่เปิดเช่นเคย ร้านรวงที่อินเดียเปิดกันช้ามาก ประมาณ 10-11 โมงนู้นนนน

เราสงสัยมากว่าทำไมเมืองนี้ต้องทาสีฟ้าเหมือนสเมิร์ฟด้วย ข้อมูลที่หามามีหลายเหตุผล บ้างก็บอกว่าทาสีฟ้าสำหรับพราหมณ์เพื่อแบ่งชนชั้น จนตอนหลังคนอื่นๆ อยากทาสีตามด้วย บ้างก็บอกว่าทาสีฟ้าเพราะทำให้บ้านเย็นและยังช่วยกันแมลงได้ด้วย ใครอยากไปเดินในโซนบ้านสีฟ้าต้องไปที่ Brahmapuri นะคะ

หลังเดินสำรวจเมืองจอดห์ปูร์ในยามเช้าเสร็จ ต้องนั่งรถเคลื่อนพลไปอีก 5 ชั่วโมงกว่าจะถึงเมืองจัยซัลแมร์ ไปถึงประมาณประมาณ 4 โมงเย็น รีบตรงดิ่งไปที่ทะเลสาบกาดชิชาร์ (Gadsisar Lake) เป็นทะเลสาบเก่าแก่ประจำเมือง ถือว่าเป็นแหล่งน้ำสำคัญของเมืองจัยซัลแมร์

กิจกรรมของทะเลสาบแห่งนี้คือถีบเรือเพื่อชมวัดและอนุสรณ์เล็กๆ สีทองอร่ามอย่างใกล้ชิดกลางทะเลสาบ ค่าเรือลำหนึ่งสำหรับสองคนราคา 100 รูปี (ครึ่งชั่วโมง)

ถ้าได้มาทีบเรือกลางทะเลสาบตอนพระอาทิตย์ตกจะรู้สึกฟินเบาๆ นกหลายร้อยตัวพากินบินอำลาเเสงสุดท้ายของวัน ถ้าได้มาทีบกับแฟนคงจะดีกว่านี้ ฮ่าๆ

Day 4 Around Jaisalmer

เมืองจัยซาแมร์ตั้งอยู่บนที่ราบสูงกลางทะเลทรายธาร์ ทะเลทรายที่กั้นระหว่างอินเดียและปากีสถาน เมืองนี้ก่อสร้างขึ้นจากหินทรายสีเหลือง เมื่อแสงแดดส่องกระทบจะเกิดเป็นหินสีทองอร่าม เลยเป็นที่มาของนครสีทองนั่นเอง ระหว่างเดินสำรวจเมืองเห็นร้านค้าขายผักและผลไม้ เด็กเดินไปโรงเรียน สัตว์เเละผู้คนเดินเดินขวักไขว่ เสียงแตรยังได้ยินเหมือนเดิม การเดินเท้าดูวิถีชีวิตผู้คนก็ดีไปอีกแบบ

ลืมเล่าไปว่า วัวถือเป็นสัตว์ศักดิ์สิทธิ์ของประเทศอินเดีย พวกมันเดินกันว่อนตามท้องถนน อยู่กันเป็นกลุ่มบ้างเดียวบ้าง ต่างเดินกินหญ้ากินขยะตามพื้นถนน เวลาเดินต้องส่องพื้นคอยหลบกองระเบิด นอกจากวัวแล้วตามท้องถนนยังมีสัตว์อีกหลายชนิดทั้งลา แพะ อูฐ หมา แต่น้องแมวกลับไม่ค่อยเห็นเลยยย

เราเปิดเเผนที่ Google Map เดินตามตรอกซอยไปเรื่อยๆ ไม่นานนักก็มาถึงป้อมจัยซาแมร์ (Jaisalmer Fort) ปราการขนาดใหญ่ที่ตั้งอยู่กลางเมือง เป็นป้อมเดียวในอินเดียที่ยังมีผู้คนอาศัยอยู่ด้านบน

ด้านในป้อมเต็มไปด้วยร้านอาหาร ที่พัก บ้านเรือน รวมถึงร้านค้าขายของที่ระลึก เสื้อผ้า รองเท้า กระเป๋า ข้าวของสารพัดอย่าง มีเเต่ของน่าสนใจทั้งนั้นเลย ต่อราคากับแขกอย่างเมามัน ด้านในป้อมยังมีวัดเชน (Jain Temples) เป็นกลุ่มวัด 7 วัดที่แกะสลักจากหินทราย สร้างเพื่อถวายศาสดาของศาสนาเชน

เราเดินลัดเลาะไปเรื่อยๆ เพื่อไปจุดชมวิวที่เห็นจัยซาแมร์ได้ทั้งเมือง มองออกไปเห็นบ้านเรือนทำจากหินสีเหลืองแทบจะทุกหลัง สถาปัตยกรรมไปในทางเดียวกันทำให้ดูลงตัวอย่างบอกไม่ถูก

บริเวณจุดชมวิวมีร้านอาหารให้เลือกมากมาย ทานอาหารไปชมวิวไปคงจะฟินไม่น้อย เราสุ่มเดินเข้าไปร้านอาหารหนึ่งชื่อ Surya Restaurant พอเห็นบรรยากาศร้านนี้แล้วปลงใจกินกับร้านนี้ทันที มีมุมเก๋ๆ ให้นั่งกินข้าวชมวิวเมือง เราสั่งเป็นข้าวผัดสไตล์จีนพร้อมไก่ทอดมาอีกจาน กินกับโค้กเย็นๆ แล้วชื่นใจจริงๆ วิวหลักล้านส่วนอาหารหลักร้อย!

หลังกินอิ่มสำราญ เดินย่อยอาหารด้วยการเดินลัดเลาะไปฮาเวลีพัทวันกี (Patwon Ki Haveli) คฤหาสน์ที่มีขนาดใหญ่และหรูหราที่สุดในบรรดาฮาเวลีด้วยกัน เป็นคฤหาสน์ที่เเกะสลักจากหินทรายของนักธุรกิจคนหนึ่ง ใช้เวลาในการสร้าง 50 ปี ความโดดเด่นอยู่ที่ระเบียงและซุ้มหน้าต่างที่ยื่นออกมาล้อมรอบคฤหาสน์

ด้านในฮาเวลีมีอยู่หลายอาคารให้เดินสำรวจ เราเดินไปชมอาคารหนึ่งเสียค่าเข้า 250 รูปี เป็นอาคารทั้งหมด 5 ชั้นด้วยกัน ชั้นแรกเป็นที่ขายเครื่องประดับ ส่วนชั้นที่เหลือห้องที่ว่างเปล่า ไม่มีเฟอร์นิเจอร์ใดๆ เราเดินขึ้นไปถึงชั้นบนสุดเป็นดาดฟ้าที่เห็นวิวได้ 360 องศา รวมถึงป้อมปราการจัยซาแมร์ที่ตั้งตระหง่านอยู่

กิจกรรมสุดโด่งดังของเมืองจัยซาแมร์คือ ชมพระอาทิตย์ตกกลางทะเลทราย เราซื้อทัวร์จากที่พักในราคา 1,000 รูปี ทัวร์เริ่มตอนบ่ายสองโมงจนถึงสองสามทุ่ม เสียดายที่มีเวลาน้อยเลยไม่ได้นอนค้างคืนกลางทะเลทรายที่อาจจะเห็นดาวเต็มท้องฟ้า ทะเลทรายห่างจากเมืองไป 45 กิโลเมตร รถจะไปส่งจนสุดถนนที่สามารถไปได้ ก่อนสนุกสนานกับการขี่อูฐเข้าไปทะเลทรายที่เนินทรายแซม (Sam Sand dunes) อีก 1-1.5 ชั่วโมง

ทะเลทรายที่นี่ถือว่าขนาดใหญ่มาก ก่อนพระอาทิตย์จะตกดิน วิ่งเล่นขึ้นลงเนินทรายกลิ้งกันหลายรอบ จะถ่ายรูปชิคๆ หรือนั่งจิบชานมใส่เครื่องเทศกับขิงแสนอร่อย (Chai Tea) ก็ได้

เมื่อพระอาทิตย์เริ่มตกสู่หลังเนินทราย แต่ละคนนั่งยืนถ่ายรูปกันจนฟิน  หรือใครอยากนั่งจิบเบียร์เย็นๆ ค่อยมองดูพระอาทิตย์ลับขอบฟ้าก็ไม่ว่ากัน

ระหว่างที่กำลังฟินกับวิวพระอาทิตย์ตก ไกด์นั่งทำอาหารเย็นอย่างง่ายๆ ให้กิน เป็นซุปมังสวิรัติพร้อมข้าวและจาปาตีที่ทำกันสดๆ หลังกินเสร็จก็นั่งชิวกันอีกหน่อยก็เริ่มเห็นดวงดาวก่อนจะนั่งรถกลับเข้าตัวเมือง

 

Day 5 Jaisalmer-Jaipur

วันสุดท้ายในอินเดีย นั่งรถยาว 10 ชั่วโมงกลับไปสนามบินจัยปูร์ ถ้าใครมีเวลามากกว่านี้ลองแวะ…

เมืองอุดัยปูร์ (Udaipur) ได้ชื่อว่าเป็นเวนิซแห่งอินเดีย เป็นเมืองแห่งทะเลสาบที่ว่ากันว่าโรแมนติก ล่องเรือชมพระอาทิตย์ตกกลางทะเลสาบ มีพระราชวังกลางทะเลสาบที่ถูกดัดแปลงเป็นโรงแรมที่สวยและโรแมนติกมาก

เมืองพุชการ์ (Pushkar) เป็นเมืองศักดิ์สิทธิ์ของชาวฮินดู บ้านเรือนสีขาวตั้งอยู่รายรอบทะเลสาบและถูกโอบล้อมด้วยภูเขา

เมืองบิคาเนอร์ (Bikaner) ตึกรามบ้านช่องของเมืองนี้มีเอกลักษณ์ พระราชวังที่นี่ก็ตกเเต่งได้อย่างเป็นเอกลักษณ์ มีวัดฮินดูคาร์นีมาทาที่มีหนูกว่าเเสนตัว

 

Plan Your Trip

การบินจากไทยมาลงที่สนามบินชัยปูร์ถือว่าเป็นข้อดีเลยนะ เป็นเมืองที่เอาไว้เป็นจุดศูนย์กลางในการเที่ยวรัฐราชสถานหรือไปข้ามไปเที่ยวรัฐใกล้เคียงอื่นๆ นอกจากเส้นทางที่เรานำเสนอไป จัยปูร์-จอดห์ปูร์-จัยซัลแมร์ ยังมีอีกเส้นทางที่น่าสนใจไม่เเพ้กัน นั่นคือสามเหลี่ยมทองคำ (Golden Triangle) เส้นทางคลาสสิคอย่าง นิวเดลี-จัยปูร์-อักรา

สถานที่ห้ามพลาดที่ถือว่าเป็นไฮไลท์ของเส้นทางนี้คือ ทัชมาฮาล (Taj Mahal) หนึ่งในเจ็ดสิ่งมหัศจรรย์ของโลก อนุสรณ์สถานแห่งความรักที่ใช้เวลาสร้างนานถึง 22 ปี ใช้คนกว่า 20,000 คน ใช้หินอ่อนและอัญมณีที่ดีที่สุดจากทั่วโลกกว่า 12,000 ตัน เป็นสถานที่ยิ่งใหญ่เเละสวยงามสมคําร่ำลือ ประดับด้วยอัญมณีและหินสีนานาชนิดบนหินอ่อนสีขาว

ทัชมาฮามีอายุราวๆ 400 ปี ยังดูเด่นสง่าและสวยตระหง่าน ดูคงทนถึงจะผ่านมาหลายร้อยปีเพราะว่าทำด้วยหินทั้งหมด ยิ่งมาตอนเช้าๆ แสงแดดที่กระทบหินอ่อนเป็นสีทองฟุ้งๆ เหมือนอยู่ในโลกนิยาย ยอดโดมหัวหอมสะท้อนน้ำที่อยู่ตรงหน้า ยิ่งเดินเข้าไปดูใกล้ยิ่งรู้สึกเหมือนมด มันดูยิ่งใหญ่จริงๆ มันสวย มันกว้าง มันใหญ่ มันฟินมาก!

อัคราฟอร์ท (Arga Fort) เป็นอีกที่ที่ไม่ควรพลาด ป้อมปราการนี้สร้างขึ้นมาก่อนทัชมาฮาลด้วยซ้ำ สร้างจากหินทรายสีแดง ด้านในจะป้อมปราการเต็มไปด้วยสิ่งปลูกสร้างมากมาย มีอยู่จุดที่สามารถมองไปเห็นทัชมาฮาลได้ด้วย

อีกสถานที่ที่อยากแนะนำคือพระราชวังฟาเตห์ปูร์ สิกรี (Fatehpur Sikri) เป็นวังที่มีความยิ่งใหญ่ ที่นี่มีซุ้มประตูที่สูงและสวยมาก หลายคนมาที่นี่เพื่อขอพรแบบฮินดูที่เขาว่าศักสิทธิ์มาก รอบๆ จะเต็มไปด้วยสุสานของนักบวช

รู้หรือไม่ว่า ประเทศไทยเป็นสมาชิก BIMSTEC Countries (ความร่วมมือทางวิชาการและเศรษฐกิจระหว่าง 7 ประเทศในอ่าวเบงกอล ) ดังนั้นเวลาไปเที่ยวอินเดียตามสถานที่ท่องเที่ยวหรือสถานที่สำคัญทางศาสนาพุทธ ถ้าเห็นป้ายราคาสำหรับชาวต่างชาติ BIMSTEC ก็อย่าลืมโชว์พาสปอร์ตให้เจ้าหน้าที่ดูตอนซื้อตั๋ว คนไทยจะได้ส่วนลดด้วยนะ บางทีได้ลดมากว่าครึ่งหรือไม่เสียเงินเลย

 

อย่างค่าเข้าทัชมาฮาล นักท่องเที่ยวทั่วไปต้องเสียเงิน 1,000 รูปี สำหรับคนไทยเสียเงินเพียง 530 รูปีเท่านั้น เห็นความเจ๋งๆ ของพาสปอร์ตไทยหรือยัง : )

 

Travel Expense

ค่าใช้จ่ายบนเส้นทาง จัยปูร์-จอดห์ปูร์-จัยซัลแมร์ ทั้งหมด 5 วัน

ค่าเช่ารถพร้อมคนขับ 15,000 รูปี

ค่ารถรับและส่งสนามบิน 800 รูปี

ค่าอาหาร 4,500 รูปี

ค่าที่พัก 1,700 รูปี

ค่าเข้าสถานที่ต่างๆ 3,900 รูปี

อื่นๆ (เช่น ทัวร์ขี่อูฐ ทิป) 5,400 รูปี

สรุปเสียค่าใช้จ่ายทั้งหมด 31,300 รูปีสำหรับสองคน หรือประมาณ 8,000 บาทต่อคน (ไม่รวมตั๋วเครื่องบินและวีซ่า) โดยเรากินอาหารตามร้านอาหาร พักแบบโฮสเทล (สะอาด มีน้ำอุ่น อินเตอร์เน็ต ห้องเป็นพัดลมบ้างแอร์บ้าง)

การท่องเที่ยวในดินแดนแห่งภารตะ ดินแดนเก่าแก่ที่มีประวัติศาสตร์ความเป็นมายาวนาน ทั้งวัฒนธรรมสถาปัตยกรรม และปติมากรรมทางพุทธศาสนา ล้วนมีคุณค่าสำคัญทางประวัติศาสตร์ สรุปแล้วเรายังคงประทับใจอินเดียอยู่ อินเดียไม่ลองไปก็ไม่ แต่ไปแล้วอาจจะติดใจก็ได้นะ

เที่ยวอินเดียให้สนุกค่ะ : )

Categories: Asia, Destinations, India

Tags: agra, India, jaipur, jaisalmer, jodhpur, rajasthan